logo IPST4 IPST4
  • วีดิทัศน์
  • คลังภาพ
  • บทความ
  • โครงงาน
  • บทเรียน
  • แผนการสอน
  • E-Books
    • คู่มือครู
    • คู่มือการใช้หลักสูตร
    • ชุดสื่อ 60 พรรษา
    • หนังสือเรียน
    • Ebook อื่นๆ
  • Apps
  • เกี่ยวกับ scimath
  • ติดต่อเรา
  • สรุปข้อมูล
  • แผนผังเว็บไซต์
Login
Login / Register
  • สมัครสมาชิก
  • ลืมรหัสผ่าน
  • วีดิทัศน์
  • คลังภาพ
  • บทความ
  • โครงงาน
  • บทเรียน
  • แผนการสอน
  • E-Books
    • คู่มือครู
    • คู่มือการใช้หลักสูตร
    • ชุดสื่อ 60 พรรษา
    • หนังสือเรียน
    • Ebook อื่นๆ
  • Apps
  • เกี่ยวกับ scimath
  • ติดต่อเรา
  • สรุปข้อมูล
  • แผนผังเว็บไซต์
Login
Login / Register
  • สมัครสมาชิก
  • ลืมรหัสผ่าน
  • learning space
  • ระบบอบรมครู
  • ระบบการสอบออนไลน์
  • ระบบคลังความรู้
  • สสวท.
  • สำนักงานสลากกินแบ่ง
  • วีดิทัศน์
  • คลังภาพ
  • บทความ
  • โครงงาน
  • บทเรียน
  • แผนการสอน
  • E-Books
    • คู่มือครู
    • คู่มือการใช้หลักสูตร
    • ชุดสื่อ 60 พรรษา
    • หนังสือเรียน
    • E-Books อื่นๆ
  • Apps
Login
Login / Register
  • สมัครสมาชิก
  • ลืมรหัสผ่าน
ค้นหา
    
ค้นหาบทเรียน
กลุ่มเป้าหมาย
ระดับชั้น
สาขาวิชา/กลุ่มสาระวิชา
การกรองเปลี่ยนแปลง โปรดคลิกที่ส่งเมื่อดำเนินการเสร็จ
เลือกหมวดหมู่
    
  • บทเรียนทั้งหมด
  • ฟิสิกส์
  • เคมี
  • ชีววิทยา
  • คณิตศาสตร์
  • เทคโนโลยี
  • โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ
  • วิทยาศาสตร์ทั่วไป
  • สะเต็มศึกษา
  • อื่น ๆ
  • หน้าแรก
  • บทเรียน
  • เคมี
  • ระบบร่างกายมนุษย์ชั้น ป.6

ระบบร่างกายมนุษย์ชั้น ป.6

โดย :
อนุสิษฐ์ เกื้อกูล
เมื่อ :
วันพุธ, 21 ตุลาคม 2563
Hits
4234
  • 1. Introduction
  • 2. ระบบย่อยอาหาร
  • 3. ระบบหมุนเวียนเลือด
  • - All pages -

อาหาร

     สารอาหาร  ( Nutrient )  หมายถึง  สารเคมีที่เป็นส่วนประกอบในอาหาร  การจำแนกสารอาหารตามหลักโภชนาการ จะพิจารณาจากปริมาณของสารอาหารที่มีอยู่ในอาหารนั้น ๆ  มากที่สุดเป็นหลัก  ซึ่งสามารถแบ่งเป็น  6  พวก  คือ  คาร์โบไฮเดรต  ไขมัน  วิตามิน  โปรตีน  แร่ธาตุ  และ  น้ำ   สารอาหารทั้ง  6  ชนิดนี้จะมีอยู่ในอาหารหลัก  5  หมู่  ดังนี้

          หมู่ 1  ได้แก่  เนื้อสัตว์  นม  ไข่  ถั่วเมล็ดแห้ง  และงา  ให้สารอาหารประเภทโปรตีน

          หมู่ 2  ได้แก่  ข้าว  แป้ง  เผือกมัน  น้ำตาล  ให้สารประเภทคาร์โบไฮเดรต

          หมู่ 3  ได้แก่  พืชผักต่างๆ  ให้สารอาหารประเภทวิตามินและแร่ธาตุเป็นหลัก

          หมู่ 4  ได้แก่  ผลไม้ต่างๆ  ให้สารอาหารประเภทวิตามินและแร่ธาตุ

          หมู่ 5  ได้แก่  น้ำมันและไขมันจากพืชและสัตว์  ให้สารอาหารประเภทไขมัน

10515
ระบบร่างกายมนุษย์
ที่มา ดัดแปลงจาก https://pixabay.com/ ,PublicDomainPictures

ประเภทของสารอาหาร

จำแนกโดยใช้ความสามารถในการให้พลังงานเป็นเกณฑ์  แบ่งเป็น  2  ประเภท  คือ

  1. สารอาหารที่ให้พลังงาน

          สารอาหารที่ให้พลังงานต่อร่างกาย  ได้แก่  คาร์โบไฮเดรต  ไขมัน  และโปรตีน  สารอาหารทั้งหมดในกลุ่มนี้เป็นสารอาหารหลักที่จำเป็นต่อร่างกาย  และจะขาดไม่ได้

  • คาร์โบไฮเดรต

          ในอาหารแต่ละมื้อเราได้รับคาร์โบไฮเดรตถึง  50 %  ในรูปของแป้ง ข้าวและน้ำตาล  สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต  เป็นสารอินทรีย์ที่ให้พลังงานที่สำคัญแก่ร่างกาย  มักพบอยู่ในรูปแป้งและน้ำตาลเป็นส่วนใหญ่ คาร์โบไฮเดรต  เป็นสารประกอบอินทรีย์ซึ่งที่มีคาร์บอน  ไฮโดรเจน  และออกซิเจนเป็นองค์ประกอบ

          อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต  ได้แก่  ข้าวเจ้า  ข้าวเหนียว  เผือกมัน  มันสำปะหลัง  มันฝรั่ง  อ้อย  ผัก  และผลไม้บางชนิด  ฯลฯ 

          จำแนกตามสมบัติทางกายภาพและทางเคมีได้   2   ชนิด  คือ

  1.   น้ำตาล  ได้แก่  คาร์โบไฮเดรตที่มีรสหวานและละลายน้ำได้  แบ่งเป็น  2  ชนิด  คือ

              1) น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว (monosaccharide) เป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลเล็กที่สุด มีรสหวานละลายน้ำได้ง่าย ร่างกายสามารถดูดซับไปใช้ได้ทันที ได้แก่ กลูโคส ( glucose)  ที่พบในอาหารทั่วไปและมีมากในองุ่น  ฟรักโทส ( fructose )  พบในเกสรดอกไม้  ผลไม้  ผัก  น้ำผึ้ง  หรืออาจปนอยู่ในกลูโคส  และกาแลกโทส ( galactose)ได้จากการย่อยน้ำตาลในนม

              2 ) น้ำตาลโมเลกุลคู่  (disaccharide)  เป็นน้ำตาลที่ประกอบด้วยน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวสองโมเลกุล  เช่น  ซูโครส  ( sucrose)  หรือน้ำตาลทราย  ประกอบด้วยกลูโคสและฟรักโทส  อย่างละ  1  โมเลกุล  มอลโทส ( maltose)  เกิดจากกลูโคส  2  โมเลกุล  และแล็กโทส ( lactose )  เกิดจากกลูโคสและกาแล็กโทส  อย่างละ  1  โมเลกุล

  1. พวกที่ไม่ใช่น้ำตาล  เป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลเชิงซ้อนเรียกว่า    น้ำตาลโมเลกุลใหญ่  (polysaccharide )  ประกอบด้วยน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวหลายโมเลกุล  คาร์โบไฮเดรตในกลุ่มนี้ไม่มีรสหวาน  ละลายได้ยาก  ได้แก่  แป้ง  เดกซ์ทริน  ไกลโคเจน  และเซลลูโลส 

          สำหรับคาร์โบไฮเดรต  1  กรัม  จะให้พลังงานแก่ร่างกาย  4  กิโลแคลอรี หากปริมาณคาร์โบไฮเดรตในร่างกายมีจำนวนมากเกินความต้องการ  ร่างกายจะเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตส่วนเกินนี้ให้อยู่ในรูปของไกลโคเจนและสะสมไว้ในร่างกาย

          ประโยชน์ของสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต

  1. คาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานในการดำเนินชีวิต  ในการดำเนินกิจกรรมต่าง  ๆ  ให้ความอบอุ่น
  2. ร่างการสังเคราะห์เก็บไว้ใช้ยามขาดแคลนอาหาร  เช่น  เก็บสะสมไว้ในตับและกล้ามเนื้อในรูปไกลโคเจน
  3. ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไล้เล็ก  ป้องกันไม่ให้เกิดอาการท้องผูก

      โปรตีน 

          เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่พบมากในเซลล์  หรือ  เนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิต  พบเป็นอันดับสองรองจากน้ำ

          โปรตีนเป็นสารประกอบอินทรีย์ที่มีโมเลกุลใหญ่  ประกอบด้วยกรดอะมิโนหลายโมเลกุลมารวมกัน  องค์ประกอบของโปรตีน  ได้แก่  คาร์บอน  ไฮโดรเจน  ออกซิเจน  และไนโตรเจน โปรตีนบางชนิดมีกำมะถันหรือฟอสฟอรัสรวมอยู่ด้วย

อาหารที่มีโปรตีน  ได้แก่  เนื้อสัตว์  ไข่  นม  ถั่วเหลือง  ถั่งแดง

          โปรตีน  1  กรัม  จะให้พลังงานแก่ร่างกาย  4  กิโลแคลอรี

       ประโยชน์ของสารอาหารประเภทโปรตีน

  1. เป็นโครงสร้างของร่างกาย และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
  2. ช่วยทำให้ร่างกายเจริญเติบโต
  3. ช่วยทำให้เกิดความสมดุลของน้ำในร่างกาย
  4. ช่วยสร้างความต้านทาน และทำลายพิษต่าง  ๆ  ในร่างกาย

    ไขมัน

        เป็นสารอนินทรีย์ไม่ละลายในน้ำ  แต่สามารละลายได้ในตัวทำละลายอินทรีย์  เช่น  อีเทอร์  คลอโรฟอร์ม  เบนซิน  อะซิโตน  และคาร์บอนเตตระคลอไรด์ 

        อาหารที่มีไขมัน  ได้แก่  น้ำมันหมู    น้ำมันพืช  เนย  ไขมัน 1  กรัม  จะให้พลังงานแก่ร่างกาย  9  กิโลแคลอรี

          ประโยชน์ของสารอาหารประเภทไขมัน

  1. เป็นตัวทำละลายของวิตามินที่ละลายได้ในไขมัน  เช่น  วิตามิน  เอ  ดี  อี  เค  ซึ่งหากขาด  ร่างกายก็จะไม่ดูดซึมได้
  2. เป็นอาหารสะสมของร่างกาย 
  3. ช่วยป้องกันการกระทบกระเทือนของอวัยวะภายใน 
  4. เป็นฉนวนป้องกันความร้อยภายในให้ออกสู่ภายนอกอย่างช้า  ๆ     
  5. เป็นโครงสร้างของเซลล์หุ้มเซลล์
  6. เป็นส่วนประกอบของระบบต่าง  ๆ  ในร่างกาย
  7. เป็นส่วนประกอบของอวัยวะต่าง  ๆ 
  8. สารอาหารประเภทไม่ให้พลังงาน

     สารอาหารประเภทที่ไม่ให้พลังงาน  แต่ร่างกายขาดไม่ได้ เนื่องจากเป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการเพื่อเป็นส่วนประกอบของร่างกายช่วยสร้างความเจริญเติบโต  และช่วยควบคุมระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ  ของร่างกายให้ทำหน้าที่ได้ตามปกติ  สารอาหารประเภทนี้ได้แก่ วิตามิน  แร่ธาตุและน้ำ 

วิตามิน 

     หมายถึง สารอินทรีย์ที่จำเป็นต่อชีวิตและสุขภาพ  วิตามินไม่ให้พลังงานแก่ร่างกายและร่างกายต้องการในปริมาณที่น้อยแต่ร่างกายขาดไม่ได้  ถ้าขาดจะทำให้ระบบต่างๆของอวัยวะต่างๆในร่างกายผิดปกติ

          วิตามินแบ่งออกเป็น  2  ประเภทใหญ่ๆ  คือ 

          วิตามินที่ละลายได้ในไขมัน  ได้แก่  วิตามินเอ  ดี  อี  เค

          วิตามินที่ละลายได้ในน้ำ  ได้แก่  วิตามินบี  และซี   

      จากตารางอาจสรุปได้ว่าวิตามินเป็นสารอาหารที่ร่างกายขาดไม่ได้  เพราะช่วยในการควบคุมอวัยวะต่างๆภายในร่างกายให้เป็นปกติ  อย่างไรก็ตาม  แม้ว่าวิตามินมีประโยชน์ต่างๆมากมาย  แต่ถ้าร่างกายได้รับวิตามินชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไป  โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินที่ละลายได้ในไขมันร่างกายจะเก็บส่วนเกินไว้ในไขมันและก่อให้เกิดพิษต่อร่างกายได้  เช่น  ผู้ที่ได้รับวิตามินเอมากเกินไปในชั่วระยะเวลาหนึ่งจะเกิดอาการอาเจียน  คลื่นไส้  เบื่ออาหาร  ผมร่วง  คันตามผิวหนัง  ปวดตามกระดูก  เป็นต้น  ส่วนวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ  ถ้ามีมากเกินไปร่างกายก็จะขับถ่ายออกมาทางปัสสาวะ  ซึ่งนอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้วยังเพิ่มภาระในการขับถ่าย  และอาจก่อให้เกิดโทษ  คือ  ทำให้ระบบเผาผลาญสารอาหารในร่างกายผิดปกติด้วย

แร่ธาตุ

       หมายถึง เกลือแร่  เป็นสารอาหารประเภทไม่ให้พลังงาน ร่างกายต้องการในปริมาณน้อยแต่ขาดไม่ได้ มีมากในหมู่ผักและผลไม้  แร่ธาตุช่วยควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ ถ้าร่างกายได้รับแร่ธาตุมากหรือน้อยเกินไปจะทำให้ร่างกายเกิดอาการผิดปกติได้

แหล่งที่มา

ประดับ  นาคแก้ว และคณะ.(2550) . หนังสือเสริมมาตรฐานแม็ค วิทยาศาสตร์ ม.2 .กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์แม็ค

ศรีลักษณ์  ผลวัฒนะ และคณะ. (2548). วิทยาศาสตร์ ช่วงชั้นที่ 3 (ม.1- ม.3) : ร่างกายของเราและชีวิตสัตว์.กรุงเทพฯ : นิยมวิทยา,


Return to contents

ระบบย่อยอาหาร

     สิ่งมีชีวิตทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นสัตว์  พืช  หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ  จะประกอบด้วยเซลล์ซึ่งเป็นหน่วยมีชีวิตที่เล็กที่สุด  มีขนาดและรูปร่างแตกต่างกันออกไป  การที่สิ่งมีชีวิตต้องการอาหารและอากาศก็คือเซลล์ต้องการนั่นเอง

     การย่อยอาหาร

          การย่อยอาหาร (Digestion)  คือกระบวนการที่ทำให้โมเลกุลของอาหารมีขนาดเล็กลง  จนสามารถดูดซึมเข้าเซลล์นำไปใช้ประโยชน์ได้  ทั้งนี้เพราะว่ารูของเยื่อหุ้มเซลล์ยอมให้สารที่มีอนุภาคที่มีขนาดเล็กกว่ารูเท่านั้นผ่านได้จึงต้องให้สารอาหารที่ได้มาจากการกินอาหารผ่านการย่อยอาหารซึ่งเกิดขึ้นภายในทางเดินอาหารเสียก่อนจึงจะดูดซึมเข้าไป

ระบบย่อยอาหารมี  2  ระบบ  คือ

  1. การย่อยเชิงกล ( Mechanical  digestion)  เป็นการเปลี่ยนแปลงขนาดของอนุภาคของสารอาหารเล็กลงโดยการบดเคี้ยวของฟัน  การทำให้ไขมันแตกตัวโดยน้ำดี  การบีบตัวของทางเดินอาหาร
  2. การย่อยทางเคมี  (Chemical  digestion )  เป็นการเปลี่ยนแปลงขนาดของอนุภาคของสารอาหารเล็กลงโดยอาศัยเอนไซม์เป็นน้ำย่อย

          เอนไซม์  คือ  น้ำย่อยที่ทำหน้าที่ย่อยอาหาร  แบ่งเป็น  3  พวก  คือ  พวกที่ย่อยโปรตีน  พวกที่ย่อยไขมัน  และพวกที่ย่อยคาร์โบไฮเดรต

          ระบบย่อยอาหารของคน  ประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ  แบ่งเป็นส่วนๆดังนี้

  1. ช่องปาก  มีฟันและต่อมน้ำลายเกี่ยวกับการย่อยส่วนนี้
  2. หลอดอาหาร
  3. กระเพาะอาหาร
  4. ลำไส้เล็ก  มีตับและตับอ่อนเกี่ยวข้องกับการย่อยระบบนี้
  5. ลำไส้เล็ก

กระบวนการย่อยอาหารและอวัยวะที่เกี่ยวข้อง

         1. ปาก มีส่วนย่อยดังนี้

          อาหารที่เข้ามาในปากจะถูกแปรสภาพ  2  วิธี  คือ  อาหารจะถูกฟันบดเคี้ยวให้มีขนาดเล็กลงแต่ยังไม่แปรสภาพให้เล็กลงจนดูดซึมได้   การย่อยเช่นนี้เป็นการย่อยเชิงกล  ขณะเดียวกันอาหารเหล่านั้นจะถูกย่อยทางเคมีด้วยเอนไซม์ที่มีอยู่ในน้ำลายการย่อยเชิงกลจึงเป็นกระบวนการย่อยที่ช่วยแปรสภาพอาหารให้เล็กลง  เพื่อน้ำย่อยจะได้แทรกซึมเข้าถึงโมเลกุลของสารอาหารได้อย่างรวดเร็ว

          ลิ้น  ทำหน้าที่คลุกเคล้าอาหารให้ผสมกับน้ำลาย

          ต่อมน้ำลาย  ทำหน้าที่สร้างน้ำลาย  ซึ่งในน้ำลายจะมีน้ำและน้ำย่อย  ต่อมน้ำลายมี  3  คู่  อยู่บริเวณขากรรไกรล่าง  1  คู่  บริเวณกกหูทั้งสองข้าง  1  คู่  และใต้ลิ้น  1  คู่  ต่อมน้ำลายที่ใหญ่ที่สุดอยู่บริเวณกกหู  ถ้าต่อมนี้ติดเชื้อไวรัสจะทำให้เกิดอาการอักเสบเป็นโรคคางทูม

          การย่อยอาหารในช่องปาก

          น้ำย่อยอาหารในปากจะมีเอนไซม์ที่ชื่อว่า  ไทยาลิน (Ptyalin ) ซึ่งเป็นเอนไซม์อะไมเลส (Amylase )  ชนิดหนึ่ง  ทำหน้าที่ย่อยแป้งซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตโมเลกุลใหญ่  แป้งที่ถูกย่อยแล้วจะอยู่ในรูปของเดกซ์ตริน  ( Dextrin) ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลเล็กกว่าแป้ง  แต่ยังไม่เปลี่ยนเป็นน้ำตาล  แต่ถ้าถูกย่อยนานๆอาจถูกย่อยให้เป็นน้ำตาลโมเลกุลคู่ได้

       2. หลอดอาหาร มีลักษณะเป็นท่อตรงจากคอหอยไปกระเพาะอาหาร  มีความยาวประมาณ  25  เซนติเมตร

การย่อยอาหารในหลอดอาหาร  เป็นการย่อยเชิงกล  เนื่องจากหลอดอาหารไม่สามารถสร้างน้ำย่อย  แต่มีต่อมสร้างน้ำเมือกช่วยหล่อลื่นอาหารให้เคลื่อนที่ไปง่าย  โดยหลอดอาหารจะบีบตัวทำให้อาหารมีขนาดเล็กลง  และเคลื่อนลงสู่กระเพาะอาหาร

      3. กระเพาะอาหาร ในภาวะปกติกระเพาะอาหารจะมีขนาดประมาณ  50  ลูกบาศก์เซนติเมตร  และเมื่อมีอาหารลงไป  กระเพาะอาหารจะสามารถขยายใหญ่ขึ้นได้ประมาณ 10 – 40  เท่า  กระเพาะอาหารจะมีตำแหน่งอยู่ใต้กระบังลมด้านซ้ายของช่องท้อง  ผนังของกระเพาะอาหารเป็นกล้ามเนื้อเรียบแข็งแรง  และยึดหยุ่นได้  มี  3  ชั้น  ที่ผนังชั้นในมีรอยย่นพับซ้อนกันจนเป็นสันนูนขึ้นเรียกว่า  รูกี

      4. ลำไส้เล็ก เป็นทางเดินอาหารส่วนที่มีความยาวมากที่สุด  ซึ่งยาวประมาณ  7  เมตร  ขดตัวอยู่ภายในช่องท้อง 

          การย่อยสารอาหารส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ลำไส้เล็ก  ที่ผนังด้านในของเซลล์จะไม่เรียบและมีลักษณะเป็นปุ่มปมยื่นออกมาจำนวนมาก  โดยภายในส่วนที่ยื่นออกมานั้นจะมีหลอดเลือดฝอยและท่อน้ำเหลืองกระจายอยู่ทั่วไป  สารอาหารที่ถูกย่อยจนมีขนาดของอนุภาคเล็กลงจะถูกดูดซึมแพร่ผ่านส่วนที่ยื่นออกมานี้เข้าสู่หลอดเลือด  และจากนั้นจะถูกลำเลียงไปเลี้ยงส่วนต่างๆ  ของร่างกายโดยอาศัยการหมุนเวียนของเลือด

       การย่อยอาหารในลำไส้เล็ก  การย่อยอาหารที่อวัยวะส่วนนี้จะมีเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อยหลายชนิด  ซึ่งผลิตจากอวัยวะต่างๆ  ดังต่อไปนี้

  1. ตับ ทำหน้าที่ผลิตน้ำดี แล้วส่งไปเก็บที่ถุงน้ำดี  เมื่ออาหารผ่านลงลำไส้เล็กก็จะมีการกระตุ้นให้น้ำดีหลั่งออกมาแล้วไหลเข้าสู่ลำไส้เล็กส่วนต้น น้ำดีก็จะช่วยกระจายไขมันให้แตกตัวออกเป็นเม็ดเล็กๆ  เพื่อให้เอนไซม์ไลเปสย่อยได้ง่ายขึ้น  นอกจากนี้น้ำดียังช่วยทำลายกรด  ทำให้อาหารที่ส่งต่อมายังลำไส้เล็กมีสมบัติเป็นเบสทำให้เอนไซม์ต่างๆที่ย่อยอาหารในลำไส้เล็กทำงานได้ดี  เนื่องจากเอนไซม์เหล่านี้จะทำหน้าที่ได้ดีในภาวะที่เป็นเบส  และน้ำดียังช่วยดูดซึมสารอาหารเข้าสู่เส้นเลือดอีกด้วย
  2. ตับอ่อน ทำหน้าที่สร้างเอนไซม์เพื่อช่วยย่อยสารอาหารในลำไส้เล็ก 

การดูดซึมอาหาร

          การดูดซึมอาหารเป็นการนำอาหารโมเลกุลเล็กๆที่ผ่านการย่อยแล้ว  เช่น  น้ำตาลกลูโคส  กรดอะมิโน  กรดไขมัน  กลีเซอรอล  ผ่านผนังทางเดินอาหารเข้าสู่กระแสโลหิต  และระบบน้ำเหลืองเพื่อนำไปสู่เซลล์ต่างๆภายในร่างกาย

          สารอาหารประเภทโปรตีน  คาร์โบไฮเดรต  และไขมันจะถูกย่อยให้เป็นอนุภาคที่เล็กที่สุดในลำไส้เล็ก  จนสามรถแพร่ผ่านผนังลำไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือดได้  และที่ผนังด้านในลำไส้เล็กจะมีลักษณะไม่เรียบ  โดยจะมีส่วนยื่นของกลุ่มเซลล์ยื่นออกมาหลายกลุ่ม  เรียกกลุ่มเซลล์ที่ยื่นออกมานี้ว่า  วิลลัส  (  villus  )  ภายในวิลลัสประกอบด้วยเส้นเลือดฝอยอยู่เป็นจำนวนมาก โมเลกุลของอาหารที่ถูกย่อยแล้วจะถูกดูดซึมแพร่ผ่านผนังวิลลัสเข้าสู่เส้นเลือดจากนั้นอาหารจะไปเลี้ยงเซลล์ทั่วร่างกายโดยการหมุนเวียนของเลือดต่อไป  ส่วนสารอาหารพวกไขมันและกลีเซอรอลจะถูกดูดซึมเข้าสู่เส้นน้ำเหลือง  เพื่อลำเลียงไปยังเซลล์เช่นกัน

แหล่งที่มา

ประดับ  นาคแก้ว และคณะ.(2550) . หนังสือเสริมมาตรฐานแม็ค วิทยาศาสตร์ ม.2 .กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์แม็ค

ศรีลักษณ์  ผลวัฒนะ และคณะ. (2548). วิทยาศาสตร์ ช่วงชั้นที่ 3 (ม.1- ม.3) : ร่างกายของเราและชีวิตสัตว์.กรุงเทพฯ : นิยมวิทยา,


Return to contents

ระบบหมุนเวียนเลือด

         ระบบหมุนเวียนของเลือด ( Circulatory  System )  เป็นระบบที่เลือดทำหน้าที่ลำเลียงสารต่าง ๆ ที่เซลล์ต้องการไปยังเซลล์  และกำจัดสารต่าง  ๆ  ที่เซลล์ไม่ต้องการออกจากร่างกาย

         ระบบหมุนเวียนของเลือดประกอบด้วย  หัวใจ  เลือด  และหลอดเลือดเป็นระบบที่ทำหน้าที่ลำเลียงอาหารและก๊าซไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่างๆของร่างกาย  และนำของเสียที่ร่างกายไม่ต้องการออกจากร่างกาย

         เลือด  ( Blood)                                                    

          ในร่างกายของคนเรามีเลือดอยู่ประมาณร้อยละ  9 – 10 ของน้ำหนักตัว เลือดมีส่วนประกอบที่สำคัญ 2 ส่วน คือ   

  1. ส่วนที่เป็นของเหลว ซึ่งเรียกว่า  น้ำเลือด หรือ  พลาสมา (  Plasma  )  คือ  ส่วนที่เป็นของเหลวมีประมาณร้อยละ  55  ของปริมาณเลือดทั้งหมดในร่างกาย 

                 -   น้ำเลือดประกอบด้วย  น้ำประมาณร้อย  91  ส่วนที่เหลือได้แก่  สารอาหารต่างๆ  เช่น  โปรตีน  วิตามิน  แร่ธาตุ  เอนไซม์  ฮอร์โมนและก๊าซต่างๆ  รวมทั้งของเสียที่ร่างกายไม่ต้องการ  เช่น  ยูเรีย  แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์  เป็นต้น 

                 -  น้ำเลือดทำหน้าที่  ลำเลียง  เอนไซม์  ฮอร์โมน  และแก๊สไปเลี้ยงเซลล์ต่าง  ๆ  ของร่างกาย  และลำเลียงของเสียต่าง ๆ ส่งไปกำจัดออกนอกร่างกาย

  1. ส่วนที่เป็นของแข็ง ได้แก่  เซลล์เม็ดเลือด  (  Corpuscle  )  และ  เกล็ดเลือด ( Platelet )  ซึ่งมีอยู่ประมาณร้อยละ  45  ของปริมาณเลือดทั้งหมดในร่างกาย

            2.1 เซลล์เม็ดเลือด (  Corpuscle  )  ประกอบด้วย

                   2.1.1  เซลล์เม็ดเลือดแดง ( red  blood  cell )  มีลักษณะค่อนข้างกลม  ตรงกลางบุ๋มลงไปทั้งสองข้าง ( ลักษณะคล้ายโดนัท )  ไม่มีนิวเคลียส มีเส้นผ่านศูนย์กลาง  7-8 ไมครอน( 1ไมครอน = 0.0001  เซนติเมตร)    

                 -  เม็ดเลือดแดงมีส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นโปรตีนซึ่งมีเหล็กเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ  เรียกว่า เฮโมโกลบิน  มีหน้าที่ลำเลียงก๊าซออกซิเจนจากปอดไปยังเซลล์ต่างๆ  และลำเลียงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเซลล์ต่างๆกลับเข้าสู่ปอด 

                 -  แหล่งสร้างเม็ดเลือดแดง  คือ ไขกระดูก  เม็ดเลือดแดงมีอายุประมาณ  110-120  วัน  หลังจากนั้นจะถูกส่งไปทำลายที่ตับ  ม้าม

                  2.1.2  เซลล์เม็ดเลือดขาว  (  white  blood  cell  ) 

                 -   ลักษณะไม่มีสี  มีรูปร่างกลม  ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง  9-12  ไมครอน  และมีนิวเคลียส เลือด  1  ลูกบาศก์มิลลิเมตร   ประกอบด้วยเม็ดเลือดขาวประมาณ  7,000-10,000  เซลล์ 

                -   หน้าที่ ต่อสู้กับเชื้อโรค  และสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกาย  และป้องกันไม่ให้เลือดภายในหลอดเลือดแข็งตัว 

                -   แหล่งที่สร้างเม็ดเลือดขาว  คือ  ม้าม  ไขกระดูก  และต่อมน้ำเหลือง  เซลล์เม็ดเลือดขาวนี้มีอายุประมาณ  7 – 14 วัน ก็จะถูกทำลาย

             2.2 เกล็ดเลือด (  Thrombocyte  หรือ  Blood  platelet  ) 

                 -  ลักษณะ เกล็ดเลือดไม่ใช่เซลล์แต่เป็นชิ้นส่วนของเซลล์  มีรูปร่างกลม  ไม่มีสี  และไม่มีนิวเคลียส  มีเส้นผ่านศูนย์กลาง  2-5  ไมครอน  เลือด  1  ลูกบาศก์มิลลิเมตร  ประกอบด้วยเกล็ดเลือดประมาณ  200,000-400,000  ชิ้น

                -  หน้าที่  ทำให้เลือดแข็งตัวเมื่อเลือดออกสู่ภายนอกร่างกาย  และช่วยห้ามเลือดในกรณีที่เกิดบาดแผล  โดยจะจับตัวเป็นกระจุกอุดรูของเส้นเลือดฝอย 

                -  แหล่งที่สร้างเกล็ดเลือด  คือ  ไขกระดูกและเกล็ดเลือดจะมีอายุเพียง  4  วันเท่านั้น   ก็จะถูกทำลาย

หลอดเลือด  ( Blood vessel)

       หลอดเลือด ( Blood vessel )  คือ  ท่อซึ่งทำให้เลือดไหลเวียนไป  โดยอาศัยแรงจากกการสูบฉีดของหัวใจ  หรือการบีบตัวของผนังหลอดเลือด  ทำให้เกิดแรงดันเลือดไหลไปสู่ส่วนต่างๆ  ของร่างกายและไหลกลับคืนสู่หัวใจหลอดเลือดในร่างกายแบ่งเป็น  3  ระบบ  คือ

  1. หลอดเลือดอาร์เทอรี (Artery)  คือหลอดเลือดที่นำเลือดออกจากหัวใจมีขนาดแตกต่างกัน  ได้แก่  หลอดเลือดเอออร์ตา  (Aorta) เป็นหลอดเลือดขนาดใหญ่  คือ  มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ  1  นิ้ว  ขนาดรองลงมาเรียกว่า  อาร์เทอรี  และขนาดเล็กที่สุดเรียกว่า  อาร์เทอรีโอล(Arteriole)  หมายถึงหลอดเลือดแดงฝอย

          -  หลอดเลือดอาร์เทอรีเป็นหลอดเลือดที่มีทิศทางนำเลือดออกจากหัวใจไปฟอกที่ปอดและนำเลือดออกจากหัวใจไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย

          -   ลักษณะของหลอดเลือดอาร์เทอรี จะมีผนังหนา  มีความยืดหยุ่นได้ดี  และรักษาระดับความดันเลือดให้คงที่ได้ เลือดที่บรรจุอยู่ในหลอดเลือดอาร์เทอรีจะเป็นเลือดที่มีปริมาณออกซิเจนสูง ( ยกเว้นเลือดที่นำเลือดที่ออกจากหัวใจไปฟอกที่ปอด( Pulmonary artery)) ดังนั้นจึงเรียกหลอดเลือดอาร์เทอรีว่า หลอดเลือดแดง

  1. หลอดเลือดเวน (Vein)  คือ  หลอดเลือดที่นำเลือดกลับสู่หัวใจมีขนาดแตกต่างกันได้แก่  หลอดเลือดเวนาคาวา  (Vena  cava)  เป็นหลอดเลือดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด  เส้นเลือดที่มีขนาดรองลงมาเรียกว่า เวน  และขนาดเล็กที่สุดเรียก เวนูล ( Venule)  หรือหลอดเลือดดำฝอย

          -  หลอดเลือดเวนเป็นหลอดเลือดที่มีทิศทางนำเลือดที่ฟอกแล้วจากปอด  รวมทั้งเลือดที่เลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายแล้วกลับเข้าสู่หัวใจ

          -  ลักษณะของหลอดเลือดเวน  เป็นหลอดเลือดที่มีผนังบางกว่าหลอดเลือดอาร์เทอรี  จึงมีช่องตรงกลางใหญ่และจุเลือดได้มาก  ความดันในหลอดเลือดเวนจะต่ำ  ดังนั้นหลอดเลือดเวนจึงมีลิ้นกั้นเป็นระยะๆ  ช่วยป้องกันไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ  เลือดที่บรรจุอยู่ในหลอดเลือดเวนจะมีปริมาณออกซิเจนต่ำ(ยกเว้นหลอดเลือดที่นำเลือดที่ฟอกแล้วจากปอดกลับเข้าสู่หัวใจ(Pulmonary  vein)  ดังนั้นจึงเรียกหลอดเลือดดำ

  1. หลอดเลือดฝอย (Capillary) เป็นหลอดเลือดที่มีการเชื่อมโยงระหว่างหลอดเลือดแดงฝอย(Arteriole)  กับหลอดเลือดดำฝอย(Venule)  เป็นหลอดเลือดที่มีขนาดเล็กมากประมาณ  6  ไมครอน(6x10-3  มิลลิเมตร)  และมีผนังบางมาก  จะพบหลอดเลือดฝอยแทรกอยู่ส่วนต่างๆของร่างกายแทบทุกส่วนและมีจำนวนมาก บริเวณผนังของหลอดเลือดฝอยเป็นบริเวณที่มีการแลกเปลี่ยนอาหาร  ก๊าซและสารต่างๆ  และของเสียระหว่างเลือดกับเซลล์ของร่างกาย  ดังนั้นการที่มีหลอดเลือดฝอยจำนวนมากในร่างกายจึงเป็นการเพิ่มพื้นที่ผิวทำให้การแลกเปลี่ยนอาหาร  ก๊าซ  และสารต่างๆระหว่างเซลล์กับเลือดมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

หัวใจ  ( Heart)

            หัวใจ  ( Heart)   อยู่บริเวณทรวงอก  ระหว่างปอดทั้งสองข้าง  ค่อนไปทางด้านซ้าย  ประกอบด้วย  กล้ามเนื้อพิเศษที่เรียกว่ากล้ามเนื้อหัวใจ  แบ่งออกเป็นห้องบน  2  ห้อง   เรียกว่า  เอเตรียม ( Atrium ) และห้องล่าง  2  ห้อง  เรียกว่า  เวนตริเคิล ( Ventricle )

      *** ทราบหรือไม่  !  ลิ้นไตรคัสพิด ( Tricuspid Value ) คือ ลิ้นหัวใจที่คั่นอยู่ระหว่างหัวใจห้องบนขวา – ล่างขวา และลิ้นไบคัสพิด (Bicuspid Value ) คือ ลิ้นหัวใจที่คั่นอยู่ระหว่างหัวใจห้องบนซ้าย – ล่างซ้าย ซึ่งลิ้นทั้งสองจะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ

แหล่งที่มา

ประดับ  นาคแก้ว และคณะ.(2550) . หนังสือเสริมมาตรฐานแม็ค วิทยาศาสตร์ ม.2 .กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์แม็ค

ศรีลักษณ์  ผลวัฒนะ และคณะ. (2548). วิทยาศาสตร์ ช่วงชั้นที่ 3 (ม.1- ม.3) : ร่างกายของเราและชีวิต  สัตว์.กรุงเทพฯ : นิยมวิทยา,

 


Return to contents
Previous Page 1 / 3 Next Page
หัวเรื่อง และคำสำคัญ
ระบบ,ร่างกาย,มนุษย์
ประเภท
Text
รูปแบบการนำเสนอ แบ่งตามผลผลิต สสวท.
สื่อสิ่งพิมพ์ในรูปแบบดิจิทัล
ลิขสิทธิ์
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)
วันที่เสร็จ
วันอังคาร, 11 มิถุนายน 2562
ผู้แต่ง หรือ เจ้าของผลงาน
อนุสิษฐ์ เกื้อกูล
สาขาวิชา/กลุ่มสาระวิชา
วิทยาศาสตร์ทั่วไป
ระดับชั้น
ป.6
ช่วงชั้น
ประถมศึกษาตอนปลาย
กลุ่มเป้าหมาย
ครู
นักเรียน
  • 10515 ระบบร่างกายมนุษย์ชั้น ป.6 /lesson-chemistry/item/10515-6
    เพิ่มในรายการโปรด
  • ให้คะแนน
    Average rating
    • 1
    • 2
    • 3
    • 4
    • 5
    • Share
    • Tweet
    • Share

ค้นหาบทเรียน
กลุ่มเป้าหมาย
ระดับชั้น
สาขาวิชา/กลุ่มสาระวิชา
การกรองเปลี่ยนแปลง โปรดคลิกที่ส่งเมื่อดำเนินการเสร็จ
  • บทเรียนทั้งหมด
  • ฟิสิกส์
  • เคมี
  • ชีววิทยา
  • คณิตศาสตร์
  • เทคโนโลยี
  • โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ
  • วิทยาศาสตร์ทั่วไป
  • สะเต็มศึกษา
  • อื่น ๆ
  • เกี่ยวกับ SciMath
  • ติดต่อเรา
  • สรุปข้อมูล
  • แผนผังเว็บไซต์
  • คำถามที่พบบ่อย
Scimath คลังความรู้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) กระทรวงศึกษาธิการ เป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่แสวงหากำไร ได้จัดทำเว็บไซต์คลังความรู้ SciMath เพื่อส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีทุกระดับการศึกษา โดยเน้นการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นหลัก หากท่านพบว่ามีข้อมูลหรือเนื้อหาใด ๆ ที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ โปรดแจ้งให้ทราบเพื่อดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็วที่สุด

The Institute for the Promotion of Teaching Science and Technology (IPST), Ministry of Education, a non-profit organization under the Thai government, developed SciMath as a website that provides educational resources in Science, Mathematics and Technology. IPST invites visitors to use its online resources for personal, educational and other non-commercial purpose. If there are any problems, please contact us immediately.

Copyright © 2018 SCIMATH :: คลังความรู้ SciMath. Terms and Conditions. Privacy. , All Rights Reserved. 
อีเมล: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. (ให้บริการในวันและเวลาราชการเท่านั้น)